E-commerce SEO → เพิ่มคนเข้าเว็บ 61,692 คน ใน 6 เดือน (ตัวอย่างจริง)
ในธุรกิจ E-commerce นั้น SEO เป็นช่องทางที่สร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (Return On Investment – ROI ) สูงที่สุดช่องทางหนึ่ง แต่ว่าเว็บอีคอมเมิร์ซ ร้านค้าออนไลน์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ค่อยให้ความสำคัญมากนัก แต่จะไปพึ่งพาโซเชียลมีเดียหรือโฆษณาแบบชำระเงินแทน ซึ่งก็ดีครับ แต่ต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง monitor อย่างใกล้ชิด และต้องมีกระแสเงินสดไว้ตลอดเพื่อจ่ายเงินค่าโฆษณา
ในทางกลับกัน การทำ SEO ใช้ความพยายามล่วงหน้าเท่านั้น เมื่อคุณติดอันดับแล้ว คุณสามารถขายของได้เรื่อยๆ ยาวๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายตายตัวรายเดือน ทุกๆ เดือน และก็ไม่ต้องดูแลอะไรมากนัก
บทความนี้นำเสนอตัวอย่างกรณีศึกษาของลูกค้าจริง เรามาดูประโยชน๋ของการทำ SEO Ecommerce กันว่าเมื่อทำแล้วจะช่วยขยายธุรกิจของคุณได้อย่างไร
ที่มาที่ไปโครงการ
ทีมงาน SEOBooks.org อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทการตลาดออนไลน์ทั้งในไทย และต่างประเทศ ลูกค้ารายนี้เรารับงานมาจาก Agency รายนึงที่รู้จักกัน
- งานนี้เป็นการทำ SEO ให้กับร้านค้าขายออนไลน์ขายนาฬิกามือสองของแท้ แบรนด์ต่างๆ เช่น Patek Philippe, Rolex, Audemars Piguet เป็นต้น
- เว็บลูกค้าใช้ Magento เป็น CMS
- คีย์เวิร์ดที่ทำใน Project มากกว่า 60+ คำ
ปัญหาหลักที่พบ
ปัญหาหลักที่พบในเว็บลูกค้ารายนี้ไม่พ้นปัญหาที่เกิดจากธรรมชาติของเว็บ e-commerce ทั่วไปครับ นั่นก็คือ ปัญหาการทำซ้ำเนื้อหา หรือ Duplicate Content ที่ถูกสร้างโดยอัตโนมัติจาก CMS ของเว็บไซต์เอง เรียกได้ว่าสร้างเว็บเสร็จปุ๊ปปัญหาเกิดขึ้นปั๊ปเลย เป็นปัญหาที่แก้ไม่ยาก เมื่อแก้แล้วมักจะเห็นผลเชิงบวกเร็ว โดยเฉพาะเว็บใหญ่ๆ มี URLs เยอะๆ
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ระบบจะคอยสร้างหน้ามีเนื้อหาซ้ำๆ กัน เรื่อยๆ ครับ จึงมีความจำเป็นที่เจ้าของเว็บไซต์ หรือ web master ต้องคอยแก้ปัญหาเหล่านี้เป็นระยะๆ แนะนำให้เช็คทุกเดือนกันเลยทีเดียว
สรุปผลลัพธ์ให้ดูก่อน
หลังจากทำ SEO เป็นระยะเวลา 6-7 เดือน โดยประมาณ
- 80% ของคีย์เวิร์ดขึ้นไปติดหน้าแรก Google
- นอกจากนี้ยังมีคีย์เวิร์ดอื่นๆ อีกกว่า 2,000+ คำ ติดอันดับ ใน Google.co.th
- ส่งผลให้มีคนเข้าเว็บแบบไม่ซ้ำกัน (Unique visitor) ประมาณ 60,000+ คน
- ซึ่งเพิ่มขึ้น 500+% เมื่อเทียบกับระยะ 7 เดือนก่อนเริ่มโปรเจ็ค
ต่อไปเรามาปูพื้นความเกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กันสักหน่อยเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน
Ecommerce คืออะไร?
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce) หรืออีคอมเมิร์ซ (Electronic commerce) เป็นรูปแบบธุรกิจที่ช่วยให้บริษัทและบุคคลทั่วไปสามารถซื้อและขายสิ่งของผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ อีคอมเมิร์ซดำเนินการในกลุ่มตลาดหลักทั้งสี่ดังต่อไปนี้:
- ธุรกิจสู่ธุรกิจ – Business to business: ธุรกิจขายสินค้าหรือบริการให้กับธุรกิจอื่น (เช่น บริษัทไมโครซอฟต์ขายซอฟต์แวร์ Office ให้กับธุรกิจอื่นใช้)
- ธุรกิจสู่ผู้บริโภค – Business to consumer: ธุรกิจขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภค (เช่น คุณซื้อรองเท้าจากผู้ค้าปลีกออนไลน์)
- ผู้บริโภคสู่ผู้บริโภค – Consumer to consumer: ผู้บริโภคขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภครายอื่น (เช่น คุณขายเฟอร์นิเจอร์ใน Lazada ให้กับผู้บริโภครายอื่น)
- ผู้บริโภคสู่ธุรกิจ – Consumer to business: ผู้บริโภคขายผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนเองให้กับธุรกิจหรือองค์กร (เช่น ยูทูปเบอร์รีวิวสินค้าให้ธุรกิจขายครีมแลกกับค่าจ้างรีวิว)
ทำไม SEO ถึงมีความสำคัญสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ?
มาดูสถิติที่น่าสนใจกันแบบเร็วๆ
- 44% ของนักช็อปปิ้งออนไลน์ ใช้เสริชเอนจิ้นยอดนิยมอย่าง Google ในการหาสินค้า (ข้อมูลจาก nChannel)
- 37.5% ของผู้ที่เข้าเว็บ ecommerce มาจากเครื่องมือค้นหา (ข้อมูลจาก SEMRush)
- 23.6% ของคำสั่งซื้อใน internet มาจากผลลัพธ์การค้นหาแบบทั่วไปของ Search Engines (ข้อมูล Business Insider)
สรุปแบบไวๆ ว่าถ้าคุณสามารถทำให้เว็บไซต์ติดอันดับดีๆ ในเครื่องมือค้นหาได้ คนจะเข้าร้านคุณมากขึ้น อาจส่งผลให้ยอดขายในร้านคุณจะพุ่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
การทำ E-Commerce SEO แตกต่างจาก SEO ปกติอย่างไร?
คุณยังคงสามารถใช้เทคนิคการทำ SEO มาตรฐาน เช่น การทำ On-Page, การสร้างลิงก์คุณภาพ และอื่นๆ มาใช้กับเว็บขายของออนไลน์ได้อยู่ ได้ผลเหมือนกัน
แต่การทำ SEO ให้กับเว็บอีคอมเมิร์ซ จะต่างกันนิดนึงตรงที่กลยุทธ์ในการทำจะเน้นในส่วนของการกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายมากกว่า เช่น
เน้นการหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับการขายสินค้า (Buying Keywords) หรือคำที่เมื่อนำมาทำ Content แล้ว ทำให้ webmaster สนใจที่จะลิงก์มายังเว็บคุณ เป็นต้น
สรุปอันดับคีย์เวิร์ดที่ทำในโปรเจ็คนี้
หลังจากทำ SEO เป็นระยะเวลา 6-7 เดือน โดยประมาณ สรุปอันดับคีย์เวิร์ดทั้งหมดได้ดังนี้
- อันดับ 1-3 (Top 3): 12 คำ
- อันดับ 1-5 (Top 5): 27 คำ
- อันดับ 1-10 (Top 10): 48 คำ
ตัวอย่างอันดับคีย์เวิร์ดโปรเจ็คนี้ (วันที่ 1 พ.ค. 2564)
คีย์เวิร์ด | อันดับ |
---|---|
นาฬิกา ปา เต็ ก ฟิ ล ลิ ป มือ สอง | 1 |
ราคา โร เล็ก ซ์ มือ สอง | 1 |
ขาย rolex มือ สอง | 1 |
โร เล็ก ซ์ มือ สอง | 2 |
นาฬิกา ap มือ สอง | 2 |
ap royal oak | 2 |
คีย์เวิร์ดกลุ่มนาฬิกา AP
คีย์เวิร์ดในกลุ่มนี้อันดับกระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ จนขึ้นไปอยู่หน้าแรกทั้งหมดในที่สุด เช่น
ap royal oak อันดับ 8
นาฬิกา ap มือ สอง อันดับ 1
นาฬิกา audemars piguet มือ สอง อันดับ 2
คีย์เวิร์ดกลุ่มนาฬิกา Cartier
กลุ่มนี้อันดับโดยรวมถือว่ามีความเสถียร และอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เช่นคีย์เวิร์ด “cartier ราคา” อันดับกระโดดจากหน้า 3 มาอยู่หน้าสองบนๆ เกือบขึ้นหน้าแรก (อันดับ 11)
แม้เพิ่ง Google เพิ่งจะอัดเดต Algorithm ครั้งใหญ่ไปหมาดๆ
คีย์เวิร์ดกลุ่มนาฬิกายี่ห้ออื่นๆ
ในกลุ่มนี้มีคีย์เวิร์ดอยู่ 8 คำ แต่ละคำเป็น Brand นาฬิกาต่างๆ ณ เวลานี้ ทุกคำได้ขึ้นมายืนหน้า 1 ทั้งหมด เช่น breitling ราคา อันดับ 3
richard mille ราคา อันดับ 6
คีย์เวิร์ดอื่นๆ ที่ติดอันดับ
นอกจาก 60+ คีย์เวิร์ดดังกล่าว ยังมีคีย์เวิร์ดอื่นๆ ที่ขึ้นมาติดอันดับกว่า 2,000 คำ จากการทำ SEO ในโปรเจ็คนี้ ดังนี้
- Top 3: 118 คำ
- Top 10: 359 คำ
- Top 100: 2,348 คำ
ตัวอย่างอันดับคีย์เวิร์ดอื่นๆ
คีย์เวิร์ด | อันดับ |
---|---|
oris มือสอง | 1 |
franck muller | 4 |
hublot | 5 |
jaeger lecoultre | 6 |
patek | 7 |
omega | 10 |
สถิติคนเข้าเว็บไซต์ 7 เดือน
ในระยะเวลาที่ทำ ประมาณ 7 เดือน คือ ระหว่างเดือนตุลาคม 2563 – เมษายน 2564 มีคนเข้าเว็บ (unique visitors) จากการทำ SEO (Organic traffic) 61,692 คน
เฉลี่ยเดือนละ 8,800 คน โดยประมาณ
เปรียบเทียบคนเข้าเว็บก่อนและหลังทำ 7 เดือน
เมื่อเปรียบเทียบคนเข้าเว็บกับช่วง 7 เดือนก่อนหน้า
กล่าวคือเทียบกันระหว่าง “มีนาคม 2563 – กันยายน 2560 ” กับ “เดือนตุลาคม 2563 – เมษายน 2564”
มีคนเข้าเว็บเพิ่มขึ้น 52,005 คน หรือ เพิ่มขึ้น 536.85%
แนะนำแนวทางสำหรับการทำ SEO เว็บ E-Commerce
การทำ SEO สำหรับเว็บอีคอมเมิร์ซเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากกว่าเว็บประเภทอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้นเว็บไซต์ค้าปลีกออนไลน์มีอยู่มากมายนับล้าน การทำให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่น ติดอันดับดีๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเริ่มต้นใช้หลักการทำและแนวทางที่ถูกต้อง ดังต่อไปนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในถูกพบใน Google และเพิ่มยอดขายได้ในที่สุด
- Navigation – โครงสร้างเว็บที่เอื้อต่อการเข้าถึง อาทิ การใช้ Breadcrumb เป็นต้น หน้าสินค้า, หน้า Category และอื่นๆ ได้ง่าย ช่วยสร้างประสบการณ์เชิงบวกให้ว่าที่ลูกค้า และก็ Bots ด้วย
- Internal Links – การสร้างลิงก์เชื่อมโยงภายใน เป็นการส่งให้คนไปยังหน้าที่คุณทำโปรโมชั่นเพื่อเพิ่มยอดขาย และยังเป็นการส่งผ่านความสามารถในการทำอันดับ (Link-Equity) ไปยังส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์ ทำให้อันดับดีขึ้นได้ใน Google
- Unique Content – เครื่องมือค้นหาอย่างกูเกิ้ลไม่ชอบการทำซ้ำเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นการซ้ำกันในเว็บคุณ หรือไปซ้ำกับเว็บอื่น แนะนำให้ตรวจเช็คดูว่ามีปัญหานี้ในเว็บไซต์ไหม ถ้ามีให้แก้อย่างเร่งด่วน
- Alt Text – เป็นเรื่องปกติที่เว็บประเภทอีคอมเมิร์ซจะมีรูปมากมาย (โดยมากเป็นรูปสินค้า) ดังนั้น อย่าลืมใส่คำอธิบายรูป (Alt text) แบบชัดเจน สั้นๆ ได้ใจความ ที่สำคัญอย่าทำ Keyword Stuffing
สำหร้บท่านเจ้าของกิจการขายของออนไลน์ต้องการทำ SEO สายขาว คุณภาพ แล้วได้ผลลัพธ์อย่างในบทความนี้ ทีมงาน SEOBooks.org ยินดีให้คำปรึกษาครับ