search engine optimization
Home » out-dated » SEO คืออะไร ความหมาย ความสําคัญ วิธีการทำให้ติด Google

SEO คืออะไร ความหมาย ความสําคัญ วิธีการทำให้ติด Google

SEO คืออะไร?

รูป - องค์ประกอบ SEO

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หมายถึง กระบวนการการปรับแต่งโครงสร้างบนเว็บไซต์ และการสร้างลิ้งค์ (Backlinks) ที่มีคุณภาพ เพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณ ติดอันดับที่คุณต้องการ โดยทั่วไปจะเป็นหน้าแรก หรือ Top 5 ใน Google

ใน Blog posts นี้เราจะมาเจาะ ลง detail กันว่าไอ้เจ้านี่ SEO คืออะไร กันแน่ ทั้งในมิติของความหมาย ความสำคัญ และวิธีทำ (คร่าวๆ)

สารบัญ

แต่ก่อนที่เราจะดำดิ่งสู่โลกของ SEO ขอแยกแยะให้คุณดูก่อนครับว่า ในหน้าผลการค้นหา หรือ SERP (Search Engine Result Page) โดยทั่วไป จะประกอบไปด้วย 2 ส่วนด้วยกัน คือ

Organic VS Paid Search

  • Paid Search: ส่วนนี้จะอยู่ด้านบนสุดของหน้าผลการค้นหา จะเป็น โฆษณาใน Google Adwords สังเกตง่ายๆ จะมีคำว่า ‘ads’ เล็กๆ กำกับอยู่ ดูตัวอย่างในรูปด้านบน (สีเหลืองๆ ที่ผมเน้นไว้) เราจะยังไม่ลงรายละเอียดกันเรื่อง SEM หรือ Search Engine Marketing ในบทความนี้ ไว้ในอนาคตถ้ามีโอกาสค่อยมาเล่าสู่กันฟัง
  • Organic Search: ส่วนนี้นี่เองที่เราจะเน้น เพราะว่าผลลัพธ์ในหน้าผลการค้นหานี้คือ ผลจากการทำ SEO ล้วนๆ โดยไม่ต้องควักกระเป๋าตังค์ไปจ่าย Google ให้เมื่อยตุ้ม

เทียบ Oranic กับ Paid search

ดังนั้นทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า พอเราพูดถึง SEO เราจะหมายถึงผลลัพธ์ที่เป็น Organic (สีเขียวๆ ในรูปด้านบน) เท่านั้นนะคร้าบ Ads ใน Adwords เรายังไม่เอามาใส่ในสมการ ณ ตอนนี้

ถึงตรงนี้ ถ้าท่านใดยัง งงๆ ไม่ค่อยเก็ตความหมายของ SEO วันนี้เอาให้เคลียร์ให้ได้ มาดูวีดีโอเล่าเป็นเรื่องเป็นราวกันมั่ง

เเอสอีโอกับบรรณารักษ์ห้องสมุด…

ในวิดีโอด้านบนได้เปรีบเปรย SEO กับบรรณารักษ์ห้องสมุด แต่ความพิเศษกว่าบรรณารักษ์ทั่วไป คือ คุณต้องดูแลหนังสือทั้งหมดในโลกเลย แล้วผู้คนก็ต้องพึ่งคุณ เวลาต้องการ
หาหนังสือ หรือข้อมูลที่ต้องการ คุณทำไงล่ะทีนี้ หน้งสือเยอะขนาดนี้..

คุณต้องมีระบบที่รู้เนื้อหาของหนังสือทุกเล่ม และรู้ด้วยว่าแต่ละเล่มเกี่ยวข้องกันยังไง ระบบของคุณต้องประมวลผล ข้อมูลมากมาย และสามารถหาข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของ user ที่มาใช้บริการห้องสมุดด้วย

Search Engine อย่าง Google Search, Yahoo หรือ Bing ก็เปรียบเสมือนว่าเป็นบรรณารักษ์ของโลกอินเตอร์เน็ต โดย search engines เหล่านี้ ก็ต้องมีระบบในการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ แล้วมาวิเคราะห์ ประมวลผล เพื่อช่วยผู้คนให้หาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ เช่นกัน ทุก search engine มีสิ่งที่เรียก ว่า Algorithm ที่ช่วยในการประมวลผล และส่งผลลัพธ์ที่มีความหมายมาให้กับผู้ใช้

เมื่ออัลกอริทึมเปลี่ยนไป

อัลกอริทึม - แพนด้า

Google มีการอัพเดท Algorithm ค่อนข้างบ่อย (ปีนึงปาเข้าไป 1,000 กว่าครั้ง) update แต่ละครั้งก็มีผลกระทบต่ออันดับ SEO เว็บไซต์ใน Google มากบ้าง น้อยบ้างต่างกันไป การอัพเดทที่มีผลต่อมากๆ เขาก็จะตั้งชื่อเพื่อง่ายต่อการจำ และจะตั้งเป็นชื่อสัตว์ เรียกได้ว่า สารพัดสัตว์บก สัตว์น้ำกันเลยทีเดียว เช่น แพนด้า (Panda) หรือ เพนกวิน (Penguin) เป็นต้น

ถามผมได้ครับว่าทำไม Google เอาชื่อสัตว์มาเป็นชื่อ Algorithm update ผมตอบแบบนี้ครับว่า ไม่แน่ใจเหมือนกัน กร๊าากกก!

ใครที่สนใจอยากติดตามอัพเดทแบบใกล้ชิด เชิญได้เลยที่นี่ครับ MOZ เขาได้รวบรวมการอัพเดทสำคัญๆ ไว้ให้ เรียบร้อย

ถ้าคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้ จากการทำงานของ search engine นั้นมีความสำคัญ กล่าวคือถ้าคุณติดอันดับต้นๆ คนก็หาเว็บไซต์คุณได้ง่ายขึ้น ของก็ขายได้มากขึ้น ดังนั้น…

ก็คือ การแก้ ตกแต่ง design, รวมทั้ง SEO Content ให้ Web คุณมีองค์ประกอบต่างๆ ทั้งด้านโครงสร้างของเว็บไซต์ เนื้อหา รวมถึงการสร้างลิ้งค์ (Backlinks) .. ที่ตรงกับ Algorithm และ ถูกใจ Search Engines ดังนั้น ขอสรุปก่อนจบในหัวข้อนี้เลยละกันว่า การทำ SEO คือขั้นตอนการทำสิ่งเหล่านี้เพื่อให้คีย์เวิร์ดที่คุณกำลังทำอยู่นั้น ขึ้นไปอยู่ในหน้าในอันดับที่คุณต้องการนั่นเอง
กุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณติดอันดับดีๆ
กุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณติดอันดับดีๆ

SEO สําคัญอย่างไร? ไม่ทำไม่ได้หราา..

ฝรั่งเขาได้ทำการทดสอบ สรุปออกมาให้เห็นถึงความสำคัญของการทำ SEO ที่มีความเกี่ยวข้องกับ web site ได้ค่อนข้างชัดครับว่า ในบรรดาผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ที่ท่องไปตามเว็บไซต์ เข้า web นี้ ออก web นั้น ผู้ใช้เหล่านี้ส่วนใหญ่มาจาก search engine ประมาณ 70%

พายกราฟ เทียบ traffic source

ที่เหลืออีก 29% โดยประมาณเท่านั้น มาจากแหล่งอื่นๆ เช่น เว็บ Social Media พวก Facebook, Youtube, Twitter หรือ instagram เป็นต้น

ผมว่าคุณเห็นตรงกันกับผมแล้วว่า 70% ของผู้คนในโลกอินเตอร์เน็ตนี่ ไม่ใช่น้อย จึงไม่ควรละเลยความสำคัญของ Search Engine Optimization โดยประการทั้งปวง

“บางท่านอาจบอกว่า SEO ไม่จำเป็น ทำก็นาน กว่าจะเห็นผล ทุกวันนี้ทำการ Marketing ใน Social Media ซื้อโฆษณาในเฟสบุ้ค ก็ขายของดีเป็นเททิ้งอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำ”

จริงครับ ไม่เถียงในข้อนี้ แต่อยากให้ นึกถึงในแง่ที่ว่า วันใดคุณหยุดจ่ายเงินปุ๊ป วันนั้น traffic หรือ จำนวนคนที่มาเข้าชมเว็บคุณเป็น 0 นะครับ และอีกอย่างที่สำคัญ เว็บไซต์ ที่คุณไปลงโฆษณาไว้ วันดี คืนดี ถ้าเขาเลิกทำไป หรือ อยู่ดีๆ ก็ปิดบัญชีโฆษณา (Advertising account) ของคุณแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แบบนี้ก็เกิดขึ้นได้นะครับ มีตัวอย่างให้เห็นมาเรื่อยๆ

“ผมเสนอว่า ปลอดภัยไว้ก่อน อย่าเอาไข่ทั้งหมดมาใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว กระจายความเสี่ยง โดยในระยะสั้น การซื้อโฆษณาเห็นผลดี รวดเร็ว ก็ทำไป และให้ทำ SEO ควบคู่กันไปด้วย ในระยะกลาง และยาว เมื่อคีย์เวิร์ดต่างๆ เริ่มทำหน้าที่ของมัน คือ ดึงคนเข้าเว็บไซต์ได้มากขึ้นจนเป็นที่พอใจ วันนั้นถ้าคุณตัดสินใจหยุดโฆษณา คุณก็ทำได้ ช่วยให้คุณประหยัดเงินได้แยะเลยทีเดียว”

ต่อไปผมขออธิบายให้เห็นภาพความสำคัญของมากขึ้น ผมยกตัวอย่างแบบนี้ครับว่า

  • คุณทำธุรกิจขายรถมือสอง
  • แล้วเว็บไซต์ของคุณติดอันดับ 2 หน้า 1 ของ Google (คืออันดับดีเลยแหละ) เมื่อคนค้นหาคำว่า “ซื้อรถมือสองที่ไหนดี?”
  • ทำให้มีคนราว 300 คน ต่อเดือน เข้ามาเยี่ยมชมเว็บคุณ เพื่อที่จะหารถมือสองถูกใจสักค้น
  • บังเอิญเว็บไซต์คุณมีรูปร่างหน้าตาพร้อมทั้งข้อมูล มีความน่าเชื่อถือ ว่าที่ลูกค้าเหล่านั้น ก็เลยตัดสินใจโทรมาสอบถาม แล้วนัดมาดูรถที่ร้าน
  • ผมสมมุติแบบอนุรักษ์นิยมเลยว่า คุณปิดการขายได้ 10% หมายความว่า ต่อเดือน คุณมีโอกาสที่จะสร้างรายได้มากขึ้น โดยการขายรถเพิ่มขึ้น เดือนละ 30 คัน! (ชักเริ่มเข้าท่าแล้ว?)

คุณอาจจะนึกแย้งเล่นๆ ในใจเบาๆ (อีกแระ) ว่า ทำไมต้องทำ SEO ให้ยุ่งยาก เมื่อยตุ้มไปใย ในเมื่อคุณไปเล่น Marketing แบบเดิมๆ คือลง ads ในนิตยสารรถมือสอง หรือหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นก็ได้ อาจขายได้เยอะกว่าด้วย!

ตอบว่า: จริงครับผม คุณอาจขายได้ ทว่าผมเชื่อลึกๆว่าการซื้อโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์เดี๋ยวนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง การลงหนังสือพิมพ์แจกฟรี ตามรถไฟฟ้า ยกตัวอย่างนะครับ คุณอาจต้องกำเงินมาวันละเหยียบแสนในการลงโฆษณากรอบเล็ก หน้าใน

อีกอย่างการวัดผลแบบละเอียดทำค่อนข้างลำบาก ว่าคุณเสียเงินไปแล้วเดือนๆ คนที่เข้ามาที่ร้านคุณมาจากหนังสือพิมพ์ฉบับโน้น ฉบับนี้ คอลัมน์ไหน กี่คน

การทำอะไรก็ตามออนไลน์ ที่คุณสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้ คุณสามารถวัดความเกี่ยวข้องกันของ metrics วัดสมรรถนะได้ลึกและหลากหลายกว่าครับ เช่น คุณสามารถรู้ได้ว่า วันนี้มีคนเข้ามาเว็บไซต์คุณกี่คน หน้าเพจไหนคนดูเยอะ คนอ่านหน้าไหนนาน มาหน้านี้ แล้วไปไหนต่อ, มาหน้าไหน แล้วโทรมาหาคุณ เป็นต้น

โอเคสรุปเลยแล้วกันตรงนี้ก่อนว่า ผมกับคุณ ตอนนี้เราเข้าใจ และเห็นประโยชน์ของ SEO (Search Engine Optimization) แล้วว่าควรทำ ต่อไปเรามาดูวิธีทำกันเลย

เตรียมความพร้อมก่อนทำ

ก่อนลงมือทำ มีหนึ่งสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ คือต้องทำก่อนเลย นั่นก็คือ การทำวิจัยคีย์เวิร์ด..

ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจ Market ว่า คนที่สนใจและมีแนวที่จะซื้อสินค้าหรือบริการของคุณนั้น เขาใช้คำอะไรค้นหากันธุรกิจของคุณ และอีกอย่างที่สำคัญคือ คุณสามารถประเมิน user ที่มาเข้าเว็บไซต์คร่าวๆ ได้ว่าเดือนๆ นึงจะมีคนมาเข้าเว็บไซต์คุณ หรือ traffic เดือนๆ นึงเท่าไร

มาหาคีย์เวิร์ดเหมาะๆ เพื่อการดันอันดับ SEO

Keyword Planner เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ Google เขาสร้างมาไว้ให้ คนที่ต้องการลงโฆษณาใน Google Adwords ใช้ แต่เราชาว SEO สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ครับ ในกรณีที่คุณยังไม่เคยเกี่ยวข้องกับการลงโฆษณาใน Google Search เลย คุณอาจจะมีข้อจำกัดอยู่บ้างในส่วนของ จำนวนการค้นหารายเดือน (Search Volume) ที่จะกำหนดมาเป็นช่วงๆ เช่น 100-1000 เป็นต้น คุณไม่ต้องไปซีเรียสมากกับตัวเลขพวกนี้ ถึงจะไม่ได้กำหนดมาเป็นช่วงๆ คือ บอกมาเป๊ะๆ อย่าง 1234 ก็ยังเป็นเพียงการประเมินพฤติกรรมผู้บริโภค อยู่ดีครับ โอเค ต่อไปถ้ายังไม่มีบัญชี ก็ให้ไปสมัครก่อนครับ คลิกเบาๆ 1 ที ที่นี่

รูปร่าง หน้าตา หน้าสมัครโฆษณา ของ Google ก็จะเป็นประมาณนี้ พร้อมแล้วก็เริ่มกระบวนการสมัคร ด้วยการคลิกปุ่ม “เริ่มเลย”

รูป - สมัครบัญชีโฆษณากูเกิ้ล

สมัครเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปต่อ ให้คุณเปิดเครื่องมือตัวนี้ขึ้นมาขึ้นมา โดยการกดปุ่ม Tools > Keyword Planner ทำตามรูปด้านล่าง

เริ่มคีย์เวิร์ดแพลนเนอร์

ต่อไปให้คุณสมมุติว่าตัวคุณเองเป็นลูกค้า ที่กำลังหาสินค้า (ของคุณเอง) ใน Google คุณจะใช้คำประเภทไหนในการค้นหา? นึกได้ก็ใส่ลงไปในช่อง “Find new keywords” สัก 2-3 คำ กำลังดี เสร็จแล้วกดปุ่ม GET STARTED เพื่อส่งคีย์เวิร์ดตั้งต้นนี้ ให้ Google นำไปใช้ต่อยอด หาคีย์เวิร์ดที่คล้ายๆ กัน มาเพิ่มเติม

รูป - ป้อนคีย์เวิร์ด

ถ้าคุณขายสินค้าในไทย ให้คนไทย เป็นหลัก คุณก็สามารถตั้งค่า Locations เป็น Thailand และ Language เป็น Thai ได้ เหมือนตัวอย่างด้านล่าง

รูป - ตั้งค่าภาษา, location

เท่านี้ คุณก็จะได้ชุดคีย์เวิร์ดหลักร้อยคำ ที่สามารถนำไปวิเคราะห์กัน เพื่อการทำ SEO กันต่อไป

ผลลัพธ์

เอาละครับ ขั้นตอนการหาคีย์เวิร์ดมาทำ SEO ยังไม่เสร็จนะครับ เพราะว่า ไม่ใช่คีย์เวิร์ดทั้งหมดที่ Google นำเสนอ ใส่พานมาให้จะ เหมาะ และตรงกับสินค้าคุณทั้งหมด คุณต้องมานั่งไล่รายคำอีกว่า คำไหนใช้ได้ไม่ได้ เช่น ดังตัวอย่างที่ผมยกมา เป็นธุรกิจที่ให้บริการสักปากอย่างเดียว ไม่ได้ขายครีม ดังนั้น คำว่า “ครีม ทา ปาก ชมพู” จึงไม่เหมาะ สมควรนำออกไป

แนวทางการทำ

การทำ SEO มีปัจจัย หรือสิ่งที่ต้องคำนึงถึง และท่องจำเก็บไว้ในใจอยู่ 3 ประการ ครับ สิ่งแรกก็คือ เนื้อหาของเว็บไซต์ ส่วนที่สองคือ โครงสร้าง ของเว็บไซต์ เอง ในส่วนสุดท้ายคือ ลิ้งค์ หรือ Backlinks เรามาไล่ดูความหมาย กันไปทีละหัวข้อกันครับ

1. เนื้อหาต้องเลิศไว้ก่อน (Content is King)

icon - magnify glass

เนื้อหา (SEO Content) ในที่นี้ผม เหมารวมยกเข่ง ทุกสิ่งอย่างที่คุณสามารถนำมาแปะไว้บนเว็บไซต์คุณ แล้ว user มีความสุขในการเสพสื่อนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือ (text), รูปภาพประกอบการอธิบาย (image), Infographic, VDO และอื่นๆ

แต่ที่ยังคงต้องยกไว้เป็นที่ 1 และให้ความสำคัญมากที่สุด ก็ยังคงเป็น ตัวหนังสือ (text) แบบบ้านๆ เรานี่แหละครับ

ทั้งนี้เพราะว่า ถึง Search Engines ต่างๆ โดยเฉพาะ Google จะมีความเก่งกล้าสามารถมากกว่าแต่ก่อนแยะ ในการตีความ rich media อย่าง รูปภาพ, gift animation หรือ แม้กระทั่งวิดีโอ เป็นต้น ในบางครั้ง ผลลัพธ์ที่ออกมาจากการตีความดังกล่าว ก็ยังไม่ค่อยตรงกับใจของเจ้าของเว็บไซต์นัก เพื่อเป็นการจัดการกับความเสี่ยง ถ้าจะใส่องค์ประกอบต่างๆ นอกเหนือจาก text ในหน้าเว็บ ให้คุณใส่ตัวหนังสืออธิบายกำกับไว้ด้วยจะดีที่สุด เช่น ใส่คำอธิบายรูปภาพ ไว้ใน Alt ของ HTML Image tag ด้วย เป็นต้น

ในการทำ content 2 สิ่ง ที่ต้องระลึกนึกถึงเสมอ มีดังนี้

ผู้ใช้ต้องการเนื้อหาแบบไหน (Search Intent)

สมมุติว่าคุณทำเว็บที่เต็มไปด้วย บทความ ดีๆ แนะนำการเตรียมตัว เตรียมสอบงานราชการ เช่น เตรียมตัวอย่างไร ให้สอบปลัดอำเภอติด เป็นต้น ถึงตรงนี้คุณอาจคิดว่าติดหน้าแรกคีย์เวิร์ด “หางานราชการ” นั้นไม่ไกลเกินฝัน .. ผมเสียใจที่ต้องบอกว่า มันไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ เพราะว่าคู่แข่งของคุณที่ติดหน้าแรก ลักษณะเนื้อหาเว็บจะเป็น รายการของงานราชการ (Job list) ทั้งนั้น ไม่ใช่ บทความ (Article) ที่มุ่งเน้นให้ข้อมูล หรือความรู้

รูป - หน้าค้นหากูเกิ้ล

ดังนั้น ก่อนที่จะลงทุนลงแรง เดินหน้าทำ คุณควรศึกษาให้ดีก่อนว่า Google ชอบที่จะแสดงเนื้อหาแบบไหน ในหน้าผลลัพธ์การค้นหาแล้วก็พยายาม match เนื้อหาประเภทนั้นๆ ให้ใกล้เคียงมากที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำอันดับดีๆ

คุณภาพ (Quality Content)

ข้อนี้ไม่ต้องสาธยายกันให้ยืดเยื้อครับ เขียน หรือสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาทิ เนื้อหาใหม่ ที่ไม่ซ้ำใคร, มีข้อมูลงานวิจัยอ้างอิงประกอบ, ทำ วีดีโอ อธิบาย เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจ, มีรูปภาพเพื่อช่วยในการอธิบายหัวข้อยากๆ ให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น เป็นขั้นเป็นตอน เป็นต้น

2. ปรับโครงสร้างเว็บตามหลัก Onpage SEO ให้กูเกิ้ล Love

onsite seo
icon - site structure

ในภาษา SEO เราจะเรียกการปรับแต่งโครงสร้าง ของเว็บไซต์ ว่าการทำ Onpage หรือ Onsite หมายความว่า ปรับแต่ง และ design ส่วนต่างๆ ที่อยู่ในเว็บคุณสอดคล้องกับ Algorithm

อุปมาอุปมัย การทำ On-page กับ การออกเดท เพื่อให้เห็นภาพแบบนี้คร้บว่า..

“คุณกำลังจะออกเดต หรือไปเที่ยวกับแฟนเป็นครั้งแรก สิ่งที่คุณต้องทำกับตัวเองคืออะไรครับ? ตัดผมให้ดูเป็นทรงหน่อย, ใส่เสื้อตัวเก่ง, ใส่น้ำหอม ทีคุณคิดว่าแฟน หรือว่าที่แฟนคุณชอบ เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อสิ่งเดียวครับ คือ .. การสร้างความประทับใจแรก (First Impression) เพื่อให้ติดตราตรึงใจว่าที่แฟนคุณ เพื่อในอนาคต อาจมีการพัฒนาเปลี่ยนสถานะ ไปเป็นแฟน และภรรยา ในที่สุด ..

เว็บคุณก็เหมือนกันเพื่อที่จะสร้างความประทับใจให้ Google แล้ว ก็ต้องปรับเว็บไซต์ ในส่วนต่างๆ เพื่อในอนาคตอันใกล้ Google ถูกใจขึ้นมา อาจโปรโมทเว็บคุณให้ติดหน้าแรก ก็ได้ ใครจะรู้…”

สำหรับท่านที่พอเข้าใจบ้างแล้วเรื่องเทคนิคการทำ On-page แล้ว ไปอ่านหัวต่อไปได้เลย สำหรับท่านที่ยังโก๊ะๆ งงๆ หรือลืมไปบ้างแล้ว ไปอ่านกันก่อนเลย คลิกที่ปุ่มด้านล่าง แล้วค่อยกลับมาต่อเรื่องลิ้งก์


ปรับเว็บให้แรงด้วย 7 ขั้นตอน Onpage-SEO

3. ลิ้งค์ (Backlink – Offpage SEO)

ในการทำอันดับ SEO ให้ได้ผลดีนั้น นอกจากการปรับแต่งเว็บไซต์ (On-page SEO) ให้ถูกต้องเป็นที่ชื่นชอบของ Google แล้ว คุณมีความจำเป็นที่ต้องสร้างลิ้งค์ (Links) ที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

รูป - การสร้างลิ้งค์

อุปมาอุปมัย การทำ OffPage หรือ การสร้างลิ้งค์ (Backlinks) กับ การออกเดท (ต่อ) เพื่อให้เห็นภาพครบรอบด้าน แบบนี้คร้บว่า..

รูป - ลิ้งค์เสมือนการโหวต

สรุปว่า ผลการออกเดตครั้งแรก ออกมาในทางที่ดี ตอนนี้เธอคนนั้น กลายมาเป็นแฟนคุณแล้ว คุณก็สารความสัมพันธ์ไปเรื่อย แต่ยังไม่ถึงขั้นชนะใจเธอ เพื่อขอมาเป็นศรีภรรยา คุณขาดอะไรครับ? ลำพังคุณ หัวเดียวกระเทียมลีบ ทำได้เท่าที่คุณทำเท่านั้น แต่ถ้ามี เพื่อนๆ ของแฟนคุณ อีกทั้งญาติ พี่ น้อง ฝ่าย สาวเจ้า ต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียว ให้แฟนคุณฟังจนหูแฉะ ทำนองว่า คุณเป็นคนดี ศรีสยาม ไม่มีหนุ่มใดเทียม หาไม่ได้อีกแล้วในบ้านนี้เมืองนี้ .. เสียงโหวตจากบุคคลที่ 3 ที่น่าเชื่อถือเหล่านี้ ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งให้คุณสมหวังเร็วขึ้น และแล้วคุณก็ได้ตบแต่ง ได้เธอคนนั้นมาใช้นามสกุลเดียวกันจนด้ายยย..

ฉันท์ใดก็ฉันนั้น ถ้าเพียงคุณปรับปรุงเว็บไซต์คุณเพียงลำพังอย่างเดียว คุณอาจติดอับดับดีได้เฉพาะคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันน้อยๆ ปริมาณการค้นหาไม่มากนัก แต่ถ้าคุณได้เสียงโหวต ในที่นี้คือ ลิ้งค์ จากเว็บอื่นๆ ชี้มาที่เว็บคุณ กูเกิ้ล ก็จะมองว่า อืมม์ ของคุณมันดีจริง จึงไว้ใจ และให้รางวัลเป็น SEO Rankings ดีๆ ที่คุณพอใจ”

ในการสร้างลิ้งค์ให้คำนึง คุณภาพมาเป็นอันดับแรกคำว่าคุณภาพในบริบทการทำ Backlinks ผมจะมอง 2 สิ่งเป็นหลัก :

3.1 ลิ้งค์จากเว็บที่มีความน่าเชื่อถือสูง (High Domain Authority Link)

รูป - domain rate ของ facebook

คำว่า Domain rating (DR) หรือ Domain authority (DA) นี้เป็นคำกลางๆ ที่ถูกสร้างมาเป็นตัวชี้วัดความแข็งแรงของเว็บไซต์ในทาง SEO โดยจะมีคะแนนเต็มที่ 100 เว็บไซต์มีแต้มยิ่งเยอะ ยิ่งดี มีความสามารถในการทำอันดับสูง

ยกตัวอย่าง Facebook.com หรือ Google.com มี DR = 100

แนะนำว่า สร้างลิ้งค์ที่มี DR หรือ DA สูงๆ ไว้ก่อน จะดีกว่าลิ้งค์เล็กๆ น้อยๆ

3.2 ลิ้งค์จากเว็บไซต์/เว็บเพจ ที่คล้ายๆ กับเว็บคุณ (Relevant Link)

เลือกที่จะสร้างลิ้งค์ที่มีเนื้อหาเว็บไซต์เหมือน คล้ายๆ หรือ อยู่ใน topic เดียวกันกับเว็บของคุณครับ แนะนำๆ

ตัวอย่างเช่น เว็บคุณเป็นเว็บเกี่ยวกับการหางาน ดังที่เคยแสดงตัวอย่างไว้ ก่อนหน้านี้ ถ้าคุณมีลิ้งค์มาจากเว็บหางานยอดนิยมอย่าง Job DB นี่ เรียกว่าดีมาก ลิ้งเดียว อาจทำให้อันดับกระโดดขึ้น อย่างผิดหูผิดตาเลยก็เป็นได้

วัดผล

การทำอะไร ก็ต้องมีการวัดผล Search Engine Optimization ก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีการวัดผล คุณก็จะไม่สามารถรู้ว่า เวลาที่เสียไป เงินทองที่เสียไปในการทำ SEO มันเวิร์คหรือไม่เวิร์ค แล้วจะปรับปรุงแก้ไขอะไร ยังไงก็ไม่รู้ ถ้าคุณทำแบบจริงจัง ไม่ได้ทำแบบลองเล่นๆ หรือเป็นงานอดิเรก แนะนำว่าให้ มีระบบวัดผลการทำ อย่างต่อเนื่องจะได้มีข้อมูล มาใช้ในการวิเคราะห์หาข้อดี ด้อย และปรับปรุงได้ ครับ

เช็คอันดับ

อ่านบทความนี้ ผมนำเสนอเครื่องมือ และวิธีการตรวจเช็คอันดับคีย์เวิร์ดไว้อย่างละเอียด


วิธีการเช็คอันดับเว็บไซต์ SEO Ranking แบบง่ายๆ

นอกจากการวัดผลด้วยการดูว่าอันดับคีย์เวิร์ดอยู่ที่หน้าไหน อันดับเท่าไรแล้ว ถ้าคุณยังไม่ได้ติดตั้ง ผมยังแนะนำอย่างหมดใจว่าให้คุณไป สร้างบัญชี Google Analytics และติดตั้งโค้ดในเว็บไซต์ของคุณให้เรียบร้อย เครื่องมือตัวนี้มีประโยชน์มากครับ เพราะว่ามีความสามารถในการวัดพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เข้ามาดูเว็บคุณได้ แบบละเอียดยิบกันเลยทีเดียว ยกตัวอย่าง คุณสามารถรู้ได้ว่าหน้า landing page หน้าในมีไหน มีคนเข้ามากที่สุด ที่มาจาก organic traffic หรือจากการทำ SEO แล้วคนที่เข้ามาแล้วนั้น มีไปดูหน้าอื่นไหม หรือออกจากเว็บคุณไปเลย เขาใช้เวลาบนเว็บคุณเท่าไร ในกรณีที่คุณเป็นเว็บ e-commerce ก็สามารถบอกได้ถึงเรื่อง transaction ถึงเรื่องสินค้าที่ถูกซื้อไป กี่ชิ้น ราคาเท่าไร สินค้าไหนขายดี ขายไม่ดี มี Average Order Value หรือ AOV เท่าไร โอ้วว! เยอะแยะ ตาแป๊ะ.. สาธยายวันนึงก็ไม่หมด ไว้วันหลังผมมาสอนให้ วันนี้เราไปดูเรื่อง SEO กันต่อ

หลีกให้ห่างการทำ “สายดำ”

การทำ SEO เหมือนกับสิ่งอื่นๆ ครับ คือมี 2 ด้าน มีดำ มีขาว ถ้าใจรักไปทางไหนก็ไม่ว่ากันครับ แต่ชี้ไหว้ตรงนี้หน่อยนึงว่า Google จ้างคนจบปริญญาเอก น่าจะหลักพันคน จากมหาวิทยาลัยระดับโลก เพื่อมาทำงานในการพัฒนา Algorithm และกันโกง กันสแปม กันสายดำ ดังนั้น ถ้าใจมันรักไปทางดำๆ คล้ำๆ หน่อย ต้องแน่ใจว่าคุณกลบเกลื่อนร่องรอย จาก Google ได้ทั้งหมด ไม่อย่างนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเลยครับ ไม่ช้า ก็เร็ว

ขอยกตัวอย่าง ผลงานสายดำ หรือ Spam ที่พบบ่อยๆ

1. Cloaking

การทำ Cloaking พูดง่ายก็คือ การแสดงเนื้อหาของเว็บไซต์ให้คนเห็นแบบหนึ่ง แต่แสดงให้กับ bots จาก search engines อีกแบบหนึ่ง
ตัวอย่างตามรูปด้านล่างในส่วน ‘สินค้าโปรโมชั่นราคาพิเศษ’ ถ้าเป็นปกติอย่างเราๆ ท่านๆ จะไม่เห็นอะไรเป็นพิเศษ

รูป - ตัวอย่างการทำ cloaking 1

แต่ถ้าคุณพยายามลากบริเวณด้านล่างๆ หน่อย ก็จะเห็นตัวหนังสือ ที่ไม่เห็นเพราะว่า สีของตัวหนังสือจะเป็นสีเดียวกันกับสีของพื้น หรือ background จะด้วยการตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม การกระทำลักษณะนี้คือ Cloaking และผิดนโยบาย กูเกิ้ล ชัดเจน

รูป - ตัวอย่าง2 cloaking

2. Keyword Stuffing

ต่อจากข้อ 1. นอกจากเข้าอีหรอบการทำ Cloaking แล้ว ตัวหนังสือที่ซ่อนไว้นี้ ไม่ได้เป็นประโยคธรมดา แต่เป็นลิสต์ของคีย์เวิร์ด ที่กำลังทำอันดับอยู่

“เตียงเด็ก,ที่นอนเด็ก,เปลเด็ก,เปลนอนเด็ก,เตียงเด็กอ่อน,เตียงไม้เด็ก,เตียงเด็ก2ชั้น,เตียงนอนเด็ก,เตียงเด็กไม้สีขาว,เตียงเด็กสีขาว สิ่งดีจากจอยลี้คิดดี้ช๊อพ มีทั้ง เตียงเด็ก,เตียงนอนเด็ก,ที่นอนเด็ก,เปลเด็ก,เตียงเด็กอ่อน,เตียงนอนเด็กอ่อนรวมทั้งรถเข็นเด็กขนาดเล็ก รถเข็นเด็กแฝด จักรยานสามล้อเด็ก จักรยานทรงตัวเด็ก เป็อุ้มเด็ก และไปจนถึงเตียงเด็กโต”

การทำแบบนี้เรียกว่า Keyword Stuffing หมายถึง การเอาคีย์เวิร์ดที่ต้องการติดอันดับดีๆ ไปแปะๆ ไว้ตามหน้าเพจต่างๆ แบบ non-sense หรือ ไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าที่จะทำ rankings

3. Spam Link

ด้านล่างเป็นตัวอย่างการทำ SEO แบบผิดๆ ซึ่งก็คือ ทำลิ้งค์ที่สร้างจากโปรแกรม

รูป - ตัวอย่างลิ้งค์ spam

ถ้าลองพยายามอ่านบทความที่มีลิ้งค์ฝังอยู่นี้ จะงงๆ ว่าเอ๊ะเราอ่านภาษาไทยไม่รู้เรื่อง หรือ บทความนี้สร้างมาจาก software ที่ปั่นบทความที่มีคุณภาพต่ำมาเพื่อสร้างลิ้งค์โดยเฉพาะ  อย่างไรก็ตามลิ้งค์ประเภทนี้มีความสุ่มเสี่ยงต่อการการโดนทำโทษ

สำหรับท่านผู้ประกอบการที่ต้องการจะจ้าง Agency มาทำ SEO ต้องถามให้แน่ใจหน่อยนะครับว่า บริษัทที่ท่านเลือก ไม่ดำ

ถ้าดำก็ ไม่ถูกจับง่ายๆ เพราะถ้าถูกจับได้ และถูกทำโทษ (Penalized) ในบางครั้ง จดทะเบียนโดเมนใหม่ สร้างเว็บไซต์ใหม่ เริ่มใหม่ตั้งแต่ศูนย์ ยังเร็วกว่า การให้ เกิ้ล ยกเลิกการทำโทษ ดังนั้น จำไว้ครับว่า เสียน้อย เสียยาก.. เสียมาก เสียง่าย

Similar Posts

2 Comments

  1. ขอบคุณครับสำหรับความรู้การทำ SEO เป็นประโยชน์มากครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *