content-creation
Home » SEO Content » ทำ Content ยังไงให้เป็นที่ร้กของ Google?

ทำ Content ยังไงให้เป็นที่ร้กของ Google?

ในโพสตร์นี้เรามาเรียนรู้กลยุทธ์การสร้าง Content ชั้นเลิศที่จะนำหน้าเว็บของคุณทยานสู่หน้าแรก Google กัน แต่ก่อนที่จะไปลงกันลึก Seobooks แนะให้เรามาเริ่มขั้นแรกสุดในการทำ SEO กันก่อน ซึ่งก็คือการพิจารณาว่าจะปรับแต่งหน้าเพจด้วย “คีย์เวิร์ด (Keyword) หรือคำหลัก” อะไร แล้วก็ไปจบกันที่จะนำคำหลักดังกล่าวมาสร้างเนื้อหาเพจดีๆ กันได้อย่างไร

เข้าใจว่าที่ลูกค้า

โดยมากเจ้าของธุรกิจจะมี Keyword ที่เกี่ยวกับสินค้า/บริการอยู่ในใจอยู่แล้ว นั่นคือมุมมองของคุณ ของผู้ประกอบการที่ต้องการขายของ ถามว่าในมุมมองของคนซื้อ เขาใช้คีย์เวิร์ดเดียวกับคุณไหม?

ตัวอย่างการหา Persona ของลูกค้า
ถ้าคุณไม่แน่ใจผมแนะนำให้ทำความเข้าใจว่าที่ลูกค้า (Persona) ให้ดีก่อน ว่าเขาเหล่านั้นคือใคร และเขาเหล่านั้นใช้เสิร์ชเอนจินหาคำประเภทไหน โดยคุณอาจตั้งคำถามง่ายๆ ดังนี้

สมมุติว่าคุณเปิดร้านขายไอศกรีม

  • ผู้คนกำลังค้นหาไอศกรีม ของหวาน ของว่าง ฯลฯ ประเภทใด?
  • คนที่ค้นหาคำเหล่านี้ น่าจะเป็นใคร? หญิง หรือชาย, อายุประมาณไหน
  • ผู้คนกำลังค้นหาไอศกรีม ของหวาน ของว่าง ฯลฯ มีแนวโน้มตามฤดูกาลตลอดทั้งปีหรือไม่? หรือหาเพียงบางช่วง บางฤดูของปี?
  • คนที่กำลังหาไอศครีม เขาใช้คำประมาณไหน? เขาถามคำถามอะไรบ้าง?
  • คนทีสนใจไอศรีม เขาสนใจไอศรีมเพื่อสุขภาพ? หรือชอบแบบหวานๆ ตามปกติทั่วไป?

เมื่อคุณตอบคำถามเหล่านี้แล้ว คุณจะมี “รายการเริ่มต้นของคำหลัก” ที่คุณสามารถนำมาขยายเพิ่มเติมจำนวนคำเพื่อนำมาทำ SEO ต่อไป

วิธีการเลือก Keyword มาทำ SEO

อันที่จริงเมื่อระดมความคิดเพื่อหาคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการแล้ว ถ้าคุณมีเวลาไม่มากและต้องเริ่มโปรเจ็คให้เร็วที่สุด คุณสามารถลงมือทำ Content ได้เลย แล้วไปวัดดวงเอาว่าคีย์เวิร์ดที่คุณได้มานั้นจะเวิร์คหรือไม่ จะสามารถช่วยคุณเพิ่มยอดขายได้หรือไม่

ถ้าคุณพอมีเวลา ผมอยากให้ใจเย็นๆ แล้วลองพิจารณาใช้ปัจจัย 3 ประการ ดังต่อไปนี้

  1. ปริมาณการค้นหา (Search Volume)
  2. ความแม่นตรง (Relevance)
  3. การแข่งขัน (Competition)

ประเมินเบื้องต้นว่าคีย์เวิร์ดที่คุณอยากทำจะเวิร์คหรือไม่ จะคุ้มเวลา คุ้มเงิน ที่ต้องลงทุนหรือไม่

1. ปริมาณการค้นหา (Search Volume)

ปริมาณการค้นหา คือจำนวนครั้งของการค้นหาคีย์เวิร์ดในแต่ละเดือน ตามความเข้าใจขั้นพื้นฐานของเราๆ ท่านๆ คีย์เวิร์ดที่มีผู้คนค้นหาใน Search Engine เป็นจำนวนมากย่อมดีกว่าน้อย ใช่ไม่ใช่? ตอบว่าใช่ แต่ก็ไม่เสมอไป!

Tip: ทำความรู้จักกับ Long-tail keywords

Long-tail keywords เป็นคีย์เวิร์ดที่ประกอบไปด้วยคำหลายคำ เช่น “กระเป๋าสตางค์ผู้ชาย แบรนด์เนม มือสอง” จะมีความหมายเจาะจงมากกว่าคีย์เวิร์ดสั้นๆ อย่าง “กระเป๋า”
แม้ว่าคำยาวๆ มักจะมีคนค้นหาน้อยกว่าคำสั้นๆ แต่เนื่องจากธรรมชาติของคำประเภทนี้ที่มีความเฉพาะเจาะจงสูงกว่า จะส่งผลให้การทำ SEO ให้ติดหน้าแรกง่ายกว่า แถม Conversion Rate หรือเปอร์เซ็นของความสำเร็จทางธุรกิจ เช่น ปิดการขาย เป็นต้น นั้นมีโอกาสสูงกว่าด้วย

และเนื่องจากคำประเภทนี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้มีการประเมินกันว่า 70% ของคนที่เข้าเว็บจาก Search Engines นั้นมาจาก Long-tail keywords

long-tail-keyword-benefits-graph
ดังนั้นถ้าเว็บคุณเป็นเว็บใหม่ ยังไม่ค่อยมีความน่าเชื่อถือ (Authority) ในสายตาเครื่องมือค้นหามากนัก ผมแนะนำให้เริ่มต้นที่คำประเภท Long-tail เป็นอันดับแรก

2. ความแม่นตรง (Relevance)

คีย์เวิร์ดที่คุณเลือกมาทำ SEO ต้องตอบโจทย์ ไขปัญหาให้ผู้ใช้งาน Search Engine ได้

Tip: ทำความรู้จักกับ Search Intent

Search Intent หมายถึง ธีมหรือประเภทของเว็บเพจที่ Google แสดงใน SERP เช่น ถ้าคุณหาคำว่า “รองเท้ากีฬา” ในหน้าผลลัพธ์การค้นหาก็จะมีแต่เว็บสินค้าขายรองเท้า (Transactional) ถ้าคุณทำเว็บไซต์ “รองเท้ากีฬา” แต่เนื้อหาหลักในเว็บคุณมีแต่บทความเชิงลึกมุ่งเน้นวิธีการใช้รองเท้ากีฬา (Informational) แบบนี้ถือว่าไม่มี Relevance

ถึงคุณจะเขียนบทความ 1 หมื่นคำ มีลิงก์มากกว่าคู่แข่งเป็น 100 เป็น 1000 ลิงก์ กูเกิ้ลก็จะไม่แสดงเว็บคุณในหน้าแรก เพราะเว็บคุณผิดประเภท ไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานเสิร์ชเอนจิน
ดังนั้นไม่แนะนำให้นั่งเทียน คิดเอาเองว่าต้องสร้างคอนเทนต์แบบนั้น แบบนี้ เปิดดูคู่แข่งใน SERP ตรวจทาน Search Intent ให้ดีก่อน แล้วค่อยลงมือทำ

3. การแข่งขัน (Competition)

คีย์เวิร์ดแต่ละคำมีความยากง่ายต่างกัน เมื่อคุณพบคำหลักในฝันที่คุณต้องการทำ คุณจะต้องมาพิจารณาต่อว่ามันมีความยากง่ายเพียงใด มีการแข่งขันสูง ต่ำแค่ไหน ด้วยการประเมินการแข่งขันอย่างถูกวิธี

สรุปสั้นๆ ตรงนี้ก่อนว่าในการหาคีย์เวิร์ดนั้น เป้าหมายของคุณคือการหาคำที่มีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา (Relevance) ที่มีปริมาณการค้นหาสูง.(Search Volume) สูง และการแข่งขัน(Competition) ต่ำ นี่คือส่วนผสมที่ลงตัวของสามปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการหาคีย์เวิร์ดมาทำ SEO

พร้อมแล้ว? มาสร้างเนื้อหา (Content) ขึ้นหน้าแรก Google กันเลย

ไม่มีอะไรจริงแท้แน่นอนยิ่งไปกว่าคำกล่าวที่ว่า “SEO กับ คอนเทนต์เชื่องโยงกันแบบไร้รอยต่อ” (เอ่อ! อันที่จริงคนกล่าวคือผมเองนี่แหละ) ขยายความแบบบ้านๆ ได้ว่า ถ้าคุณไม่คิดว่าจะทำเนื้อหาดีๆ ออกมาได้ อย่าทำเลย SEO เสียเวลาเปล่า..

ในหัวข้อนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีการนำคีย์เวิร์ดที่คุณหามาได้อย่างยากลำบาก นำมาสร้าง SEO Content ที่ Google จะหลงรักกัน

ความสำคัญของหัวข้อ (Importance of Topics)

ไม่ว่าใครก็อยากที่จะมีเว็บไซต์ ใครๆ ก็อยากสร้าง Blog เพื่อระบายความใน หรือนำเสนออะไรก็ตามที่อยากแสดงต่อชาวโลก ทำให้ทุกวันนี้มีคอนเทนต์อะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด ที่น่าเศร้าคือส่วนใหญ่ (มากกว่าร้อยละ 90) คุณภาพต่ำ

ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้ใช้เสิร์ชเอนจินมีความซับซ้อนมากขึ้น (64% ของประโยคที่ใช้ค้นหาจะประกอบไปด้วยคำ 4 คำขึ้นไป) เพื่อ Filter หรือขจัดขยะในอินเตอร์เน็ตออกไปและค้นพบสิ่งที่ตนต้องการหา
ดังนั้น Search Engine จึงต้องพัฒนาอัลกอริทึมมาถึงจุดที่ไม่ได้แปลความหมายจากคีย์เวิร์ดเป็นคำๆ แต่จะแปลความจากบริบทของกลุ่มคำ ประโยค หรือทั้งย่อหน้าเลย พื่อส่งคำตอบที่ตรง (Relevance) มากที่สุดให้กับผู้ใช้
สรุปสั้นๆ ว่าคุณในฐานะผู้สร้างคอนเทนต์ต้องสร้างและจัดระเบียบเนื้อหาให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ลืมเรื่อง Keywords ไปก่อน แล้วมองโครงสร้างเว็บใหม่ในรูปแบบของหัวข้อ (Topics) หลัก หัวข้อรอง ที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

วิธีการหาและจัดเรียงหัวข้อ (Topic Identification)

สมมุติว่าคุณเปิดร้านขายรองเท้าวิ่ง และคุณได้คีย์เวิร์ดมาจำนวนหนึ่ง เช่น รองเท้าวิ่งผู้ชาย, รองเท้าวิ่งผู้ชาย ใหม่ 2021, รองเท้าวิ่งผู้หญิง, รองเท้าวิ่งผู้หญิงราคาถูก, รองเท้าวิ่งผูหญิงไม่แพง, รองเท้าวิ่งผู้หญิงราคาส่ง, ร้องเท้าวิ่งผู้หญิงไม่เกิน 500, รองเท้ามือสอง, แหล่งรองเท้ามือสอง เป็นต้น ตอนนี้รวบรวมคีย์เวิร์ดมาไว้ด้วยกัน อาจจะดูสะเปะสะปะไปหน่อย ไม่เป็นไร

การจัดกลุ่มหัวข้อที่ผิด

ต่อไปให้คุณจัดกลุ่มคีย์เวิร์ดตามสินค้าหรือบริการ ซึ่งเราจะใช้เป็นธีมหลักของเว็บไซตฺ์ และสร้างคอนเทนต์ ในตัวอย่างนี้จัดได้ 3 กลุ่มกว้างๆ ได้แก่

  1. รองเท้าวิ่งผู้หญิง
  2. รองเท้าวิ่งผู้ชาย
  3. รองเท้าวิ่งมือสอง

จัดกลุ่ม keyword

ต่อไปนำคีย์เวิร์ดในแต่ละธีมมาทำ Web Page ภายใต้หลักการ:

1 หน้า = 1 หัวข้อหลัก = 1 คีย์เวิร์ดหลัก

กล่าวคือในหนึ่งหน้า ต้องมี 1 หัวข้อหลัก (1 คีย์เวิร์ดหลัก) และอาจะมีหลายหัวข้อรอง (หลายคีย์เวิร์ดรอง) ในการจัดเรียงหัวข้อให้คุณจัดตามตรรกะที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ โดยทั่วไปหัวข้อหลักจะมีปริมาณการค้นหา (Search Volume) สูงกว่าหัวข้อรองจัดโครงสร้างหน้าด้วย Topicsข้อควรระวัง: Blogger หรือคนทำเว็บจำนวนไม่น้อยนิยมสร้าง web page ขึ้นมาเพื่อทำ SEO ในทุกๆ คีย์เวิร์ดที่หามาได้ เช่น

คีย์เวิร์ด: รองเท้าวิ่งผูหญิงไม่แพง
หน้าเพจ: www.เว็บขายรองเท้า.com/รองเท้าวิ่งผูหญิงไม่แพง/

คีย์เวิร์ด: ร้องเท้าวิ่งผู้หญิงราคาถูก
หน้าเพจ: www.เว็บขายรองเท้า.com/ร้องเท้าวิ่งผู้หญิงราคาถูก/

คีย์เวิร์ด: ร้องเท้าวิ่งผู้หญิงไม่เกิน 500
หน้าเพจ: www.เว็บขายรองเท้า.com/ร้องเท้าวิ่งผู้หญิงไม่เกิน-500/

การสร้างหน้า Page ลักษณะนี้ทำให้

การจัดการเนื้อหาใน web site โดยรวมยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ส่งผลให้ผู้ใชงานหาข้อมูลที่ต้องการอย่างครบถ้วนได้ยาก
ในทาง SEO หน้าพวกนี้มักจะไม่ส่งเสริมกัน แต่กลับแข่งกันเอง จากประสบการณ์ Ranking มักจะไม่ดี หรือถึงขั้นพากันล่วงอีกด้วย

แนวทางการสร้างคอนเทนต์ชั้นเลิศ (SEO Content Creation)

Rand Fishkiin ผู้ก่อตั้ง MOZ ได้ให้ความหมายกลยุทธ์ “10x content” ว่าคือการทำคอนเทนต์ให้ดีกว่าคู่แข่งในหน้าแรก Google 10 เท่า

วิธีการสร้าง Quality Content

ในหัวข้อนี้เรามาพูดถึงองค์ประกอบที่ทำให้เนื้อหาของคุณเป็นคอนเทนต์ชั้นเลิศ ดีกว่าคู่แข่งของคุณ อืมม์ อาจไม่ถึง 10 เท่า แต่ก็เพียงพอที่จะติดหน้า 1 ได้

1. เนื้อหาที่ดีกว่า (Quality)

คุณสร้างหน้าเพจขึ้นมาหน้านึง แล้วก็ลงมือเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับคีย์เวิร์ด ตีพิมพ์บทความ แล้วถือว่าจบกัน คนที่คลิกเข้ามาดู ชั่วอึดใจเดียวก็จะกลับไปที่ Google แล้วคลิกไปเว็บอื่น พฤติกรรมของผู้ใช้ลักษณะนี้บอกเสิร์ชเอนจินว่าเว็บคุณไม่ตอบโจทย์

ในยุคนี้ พ.ศ. นี้ถ้าคุณสร้างหน้าที่เต็มไปด้วยเนื้อหาคุณภาพที่สามารถแก้ปัญหาให้ผู้อ่านได้จริง แบรนด์คุณจะเป็นที่จดจำ ยิ่งไปกว่านั้น Google จะให้รางวัลด้วยการให้คุณติดอันดับดีๆ ด้วย

องค์ประกอบที่ทำให้ web มีคุณภาพประกอบไปด้วย

  • ครอบคลุมหัวข้อให้ละเอียดมากกว่าคู่แข่งของคุณ (ดูตัวอย่างหน้าเว็บที่มีอันดับสูงๆ แล้วก็คิดให้ออกว่าจะทำอะไรได้บ้างให้เนื้อหาดีกว่าคู่แข่ง)
  • ให้ข้อมูลใหม่ ข้อมูลล่าสุด
  • ไม่ลอกเนื้อหาของคนอื่นมาใชทั้งดุ้น นำมาเขียนใหม่ในคำของคุณเอง ไม่ให้เหมือนใคร
  • บทความยาวๆ มีโอกาสที่จะได้อันดับดี แต่อย่าเข้าใจผิด แล้วไปสรรค์หาคำอะไรไม่รู้ มีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อใส่ๆๆๆ ลงไป ขอให้เข้าใจเสียใหม่ว่าไม่ใช่จำนวนคำที่ทำให้อันดับสูง แต่เป็นเพราะว่าโพสต์ยาวมักจะครอบคลุมเนื้อหาได้ลึก และครบถ้วนมากกว่าบทความสั้นๆ

Tip:ให้ใช้ค่าเฉลี่ยจำนวนคำของเว็บเพจที่ติดหน้าหนึ่งกูเกิ้ลสำหรับคำหลักที่คุณทำ เป็นไกด์ว่าเนื้อหาคุณต้องมีสักกี่คำ เช่น คียเวิร์ด “รองเท้าวิ่งผู้ชาย” web page 10 อันดับแรกมีคำรวมกันเฉลี่ย 1,500 คำ ก็แนะนำให้คุณสร้างคอนเทนต์ที่ยาวกว่าค่าเฉลี่ยสัก 20% ในกรณีคือ 1,800 คำ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำ Ranking ดีๆ มากขึ้น

2. ความสดใหม่ (Freshness)

  • Google ชอบเห็นเนื้อหาสดใหม่ ดังนั้นตีพิมพ์เนื้อหาคุณภาพใหม่ๆ บ่อยๆ ไม่ใช่ปีนึงโพสต์บทความแล้ว อันนั้นก็น้อยไป
  • การทำให้เว็บคุณดูใหม่อยู่ตลอดในสายตาเสิร์ชเอนจิ้นทำได้หลากหลายทางนอกจากการเขียนบทความใหม่ คุณสามารถอัพเดทบทความเก่าด้วยข้อมูลใหม่ล่าสุด, แก้ไขลิงก์ตาย หรือเพิ่มห้วข้อรองเข้าไปเพื่อให้เนื้อหาที่ลึกและครอบคลุมมากขึ้น

3. ดีไซน์ที่ดีกว่า (UX Design)

นอกจากเนื้อหาที่ดี ใหม่แล้ว ถ้าคอนเทนต์ของคุณจำเป็นต้องมีรูปลักษณ์ที่ดีด้วย เพื่อความน่าติดตาม เพิ่มความน่าเชื่อถือ และไม่น่าเบื่อ

  • ต้องให้ชัวร์ว่าข้อความอ่านง่าย ใช้ฟอนต์ขนาดใหญ่อ่านได้สบายตา
  • ระวังอย่าใช้ข้อความยาวๆ ติดกันเป็นพรืด เขียนให้กระชับ สั้น เข้าใจง่าย
  • ใช้คอนเทนต์ที่หลากหลายนอกจากตัวหนังสือ เช่น รูปภาพ, animation, วีดีโอ เป็นต้น เพื่อให้น่าติดตามและทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
  • ถ้าหน้ามันยาวมาก มีหลายหัวข้อย่อย แนะนำให้ใส่ตารางสารบัญเพื่อความง่ายในการอ่าน
  • เน้นข้อความสำคัญอย่างเหมาะสม เช่น ตัวหนา, ตัวเอน, Quote เป็นต้น

เอาล่ะครับ ณ จุดๆ นี่หวังว่าพี่น้องคงเห็นภาพและมีความเข้าใจการทำ Content สำหรับ SEO มากขึ้น สิ่งที่อยากเน้นอีกทีก็คือ จริงอยู่เราทำ Content เพื่อให้ติดหน้า 1 Google แต่เราต้องไม่ลืมคนตัวเป็นๆ ผู้ที่เสพคอนเทนต์จริงๆ ว่าคือใคร และเขาต้องการเห็นเนื้อหาแบบไหน ถ้าไม่สนใจหรือลืมจุดนี้ เหนื่อยหน่อยครับกับการติดอันดับดีๆ ในเครื่องมือค้นหา